
การสร้างนวัตกรรม Punch Force สำหรับการชกหมัดตรงในรายวิชามวยไทย
และศิลปะการแสดงมวยไทย
The Development of the Punch Force Innovation for Straight Punches in the Muay Thai and Muay Thai Performing Arts Course
เนตรนภา ค้ำคล้อง สถาพร พาขุนทด วรพล ณรงค์แสง
Netnapa Khamkhlong1, Sataporn Phakhunthod2, and Woraphon Narongsaeng3
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างนวัตกรรม Punch Force สำหรับการชกหมัดตรงในรายวิชาศิลปะการแสดงและมวยไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบางแพปฐมพิทยา อาสาสมัครที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนของโรงเรียนบางแพปฐมพิทยา จำนวน 10 คน โดยนวัตกรรม Punch Force ผ่านการตรวจคุณภาพเครื่องมือ 2 ด้าน ได้แก่ 1) หาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา โดยผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน 2) หาความเชื่อถือได้ โดยวิเคราะห์ข้อมูลหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน
ผลการวิจัยพบว่านวัตกรรม Punch Force ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ 1.00 ทุกข้อคำถาม ซึ่งอยู่ในระดับดีมาก และมีค่าความเชื่อถือได้จากการทดสอบซ้ำ เท่ากับ .99 ซึ่งอยู่ในระดับดีมาก
สรุปได้ว่า นวัตกรรม “ Punch Force ”ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีความเหมาะสมที่จะนำไปใช้ได้
คำสำคัญ : นวัตกรรม Punch Force การชกหมัดตรง และมวยไทย
นิสิตปริญญาตรี ภาควิชาพลศึกษาและกีฬา คณะศึกษาศาสตร์และพัฒนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน
A University Student, Department of Physical Education and Sports, Education and Development Sciences,
Kasetsart University Kamphaeng Sean Campus
อาจารย์ ดร. ภาควิชาพลศึกษาและกีฬา คณะศึกษาศาสตร์และพัฒนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน
Lecturer Ed.D., Department of Physical Education and Sports, Education and Development Sciences, Kasetsart University
Kamphaeng Sean Campus
ครูประจำการ โรงเรียนบางแพปฐมพิทยา จังหวัดราชบุรี
Teacher at Bangphae Pathom Pittaya School, Ratchaburi Province
วัตถุประสงค์การวิจัย
เพื่อสร้างนวัตกรรม Punch Force สำหรับการชกหมัดตรงในรายวิชามวยไทยและศิลปะการแสดง
วิธีการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (quasi-experimental research) เพื่อสร้างนวัตกรรม
Punch Force สำหรับการชกหมัดตรงในรายวิชามวยไทยและศิลปะการแสดง
กลุ่มเป้าหมายในการวิจัย
กลุ่มเป้าหมายในการหาคุณภาพของนวัตกรรม Punch Force สำหรับการชกหมัดตรงในรายวิชามวยไทยและศิลปะการแสดง แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มดังนี้
กลุ่มเป้าหมายที่ 1 การหาคุณภาพ ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (purposive sampling) ในการประเมินคุณภาพของนวัตกรรมด้านความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา
กลุ่มเป้าหมายที่ 2 การหาคุณภาพ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบางแพปฐมพิทยา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 10 คน ซึ่งสมัครใจในการเข้าร่วมการวิจัย นำมาหาค่าคุณภาพของนวัตกรรมด้านความเชื่อถือได้
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
นวัตกรรม Punch Force ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
ขั้นตอนการสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือ
- ผู้วิจัยศึกษาเอกสารตำราเกี่ยวข้องกับร่วมกับปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับทักษะกีฬามวยไทย และการสร้างนวัตกรรม
- ผู้วิจัยดำเนินการออกแบบเครื่องมือด้วยการวาดภาพพิมพ์เขียว (blue print)และนำไปปรึกษาอาจารย์นิเทศก์และผู้เชี่ยวชาญเพื่อศึกษาความเป็นไปได้
- ผู้วิจัยดำเนินการจัดหาซื้ออุปกรณ์ที่จำเป็นในการสร้างเครื่องมือการวิจัย โดยยืดหลักความพอเพียง
- ผู้วิจัยดำเนินการสร้าง Punch Forceขึ้นและนำเสนอต่ออาจารย์นิเทศก์เพื่อพิจารณาความถูกต้องและปรับปรุงแก้ไข
- ผู้วิจัยดำเนินการนำPunch Forceที่ผ่านการตรวจสอบแก้ไขจากอาจารย์นิเทศ ไปทดลองใช้ (try-out) กับนักเรียนโรงเรียนบางแพปฐมพิทยา จำนวน 10 คน ที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย เพื่อหาความเหามะสมและข้อบกพร่องของเครื่องมือและนำมาปรับปรุงแก้ไข
- ผู้วิจัยดำเนินการนำ Punch Forceที่ผ่านการทดลองใช้ (try-out) เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 คน เพื่อหาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (content validity)โดยใช้วิธีของ Rovinelli and Hambleton
- ผู้วิจัยดำเนินการหาค่าความเชื่อถือได้ของ Punch Forceโดยใช้วิธีการทดสอบซ้ำ (test-retest)ระยะห่างกัน 1 สัปดาห์ นำผลการทดลองครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 มาคำนวณหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียรสัน (pearson product moment correlation coefficient) เพื่อหาค่าความเชื่อถือได้ (reliability)
- ผู้วิจัยดำเนินการแก้ไขตามคำแนะนำก่อนนำไปเก็บรวมรวบข้อมูล
- ผู้วิจัยดำเนินการนำ Punch Forceที่ผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ อาจารย์นิเทศก์ ไปทำการเก็บรวบรวมข้อมูลต่อไป
ขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูล
- ผู้วิจัยทำการปฐมนิเทศ แจ้งจุดประสงค์ และอธิบายขั้นตอนการทดลองในการทำวิจัยครั้งนี้ให้อาสาสมัครทราบ
- ผู้วิจัยจัดเตรียมสถานที่ อุปกรณ์และทบทวนการใช้นวัตกรรมPunch Forceเพื่อการเก็บข้อมูลที่ถูกต้อง
- ผู้วิจัยหาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา(content validity)โดยการนำนวัตกรรม Punch Force เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน เพื่อพิจารณาความเหมาะสมของเครื่องมือ
- ผู้วิจัยนำนวัตกรรมPunch Forceที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ทำการทดสอบซ้ำ (test-retest) กับอาสาสมัครที่สมัครใจเข้าร่วมการวิจัย จำนวน 10 คน ระยะเวลาห่างกัน1 สัปดาห์ เพื่อหาความเชื่อถือได้ (reliability)
- ผู้วิจัยนำผลที่ได้มาวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาคุณภาพของนวัตกรรมPunch Forceที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
การวิเคราะห์ข้อมูล
การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัย ดังนี้
- หาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (content validity) โดยการนำนวัตกรรมPunch Forceเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน เพื่อพิจารณาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา โดยใช้หาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ (ioc: index of item-objective congruence)
- หาค่าความเชื่อถือได้ (reliability)ของนวัตกรรมPunch Force ด้วยการทดสอบซ้ำ (test-retest) ระยะเวลาห่างกัน 1 สัปดาห์ จากนั้นหาความสัมพันธ์ของคะแนนการทดสอบ โดยคำนวณหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียรสัน (pearson product moment correlation coefficient)
ผลการวิจัยและการอภิปรายผล
ตารางที่ 1 แสดงค่าดัชนีความสอดคล้อง (ioc) ของนวัตกรรม Punch Force
|
ข้อคำถามสำหรับการพิจารณา |
ผู้เชี่ยวชาญ |
จำนวนผู้เชี่ยวชาญเห็นตรงกัน |
ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหารายข้อ |
||||||||
|
คนที่ 1 |
คนที่ 2 |
คนที่ 3 |
|||||||||
|
-1 |
0 |
1 |
-1 |
0 |
1 |
-1 |
0 |
1 |
|||
|
1. นวัตกรรมสามารถใช้พัฒนาการชกหมัดตรงของผู้เรียนได้ |
|
|
/ |
|
|
/ |
|
|
/ |
3 |
1 |
|
2. นวัตกรรมมีรูปแบบที่เหมาะสมกับการสอน |
|
|
/ |
|
|
/ |
|
|
/ |
3 |
1 |
|
3. นวัตกรรมมีความเหมาะสมกับความสนใจของนักเรียน |
|
|
/ |
|
|
/ |
|
|
/ |
3 |
1 |
|
4. นวัตกรรมมีความสอดคล้องเหมาะสมกับวัยของผู้เรียน |
|
|
/ |
|
|
/ |
|
|
/ |
3 |
1 |
|
5. นวัตกรรมมีความสอดคล้องเหมาะสมในการชกหมัดตรง |
|
|
/ |
|
|
/ |
|
|
/ |
3 |
1 |
|
6. นวัตกรรมมีความสอดคล้องเหมาะสมกับสภาพปัจจุบันและปัญหา |
|
|
/ |
|
|
/ |
|
|
/ |
3 |
1 |
|
7. นวัตกรรมมีความเหมาะสมต่อกระบวนการพัฒนาผู้เรียน |
|
|
/ |
|
|
/ |
|
|
/ |
3 |
1 |
จากตารางที่1 แสดงค่าดัชนีความสอดคล้อง (ioc) ของนวัตกรรม Punch Force จากผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน โดยหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (ioc) พบว่า สร้างนวัตกรรม Punch Force ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น มีค่าความตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ 1.00 ทุกข้อคำถาม
ตารางที่ 2 แสดงค่า r ของนวัตกรรม Punch Force ด้วยวิธีการทดสอบซ้ำ (test-retest)
|
n |
การทดสอบ |
r |
|
|
Test |
Retest |
||
|
10 |
0.38 ± 0.04 |
0.36 ± 0.03 |
0.99 |
จากตารางที่2 แสดงค่าความเชื่อถือได้ (reliability) ของ นวัตกรรม Punch Force ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น โดยหาความสัมพันธ์ของผลของการทดสอบใช้ นวัตกรรม Punch Force โดยการทดสอบซ้ำ (test-retest) ในระยะเวลาการทดสอบห่างกัน 1 สัปดาห์ ผลของการการทดสอบซ้ำ (test-retest) พบว่ามีค่า r เท่ากับ 0.99 อยู่ในระดับดีมาก
ภาพที่ 1 นวัตกรรม Punch Force ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
อภิปรายผลการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษาการสร้างนวัตกรรม Punch Force ให้มีความเหมาะสมกับธรรมชาติและทักษะของกีฬามวยไทย โดยกระบวนการสร้างนวัตกรรม Punch Force นั้นจำเป็นที่จะต้องสร้างให้ถูกต้องตามหลักการสร้างเครื่องมือและมีการหาคุณภาพเครื่องมือตามกระบวนการที่ถูกต้อง ซึ่งเครื่องมือที่ดีและมีคุณภาพที่สามารถนำมาใช้งานได้นั้นต้องมีความเที่ยงตรง (validity) ความเชื่อถือได้ (reliability) ซึ่งหากเครื่องมือที่สร้างขึ้นไม่สามารถทดสอบได้บรรลุตามวัตถุประสงค์ในการทดสอบที่ต้องการ เครื่องมือนั้นจะไม่ยอมรับให้ใช้ในการทดสอบ โดยกระบวนการหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยครั้งประกอบไปด้วย
- การศึกษาคุณภาพของนวัตกรรมPunch Forceผู้วิจัยได้หาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา
(content validity) จากผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน ผู้วิจัยได้มีการออกแบบตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (content validity) ซึ่งใช้วิธีหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (index of item objective congruence: ioc) มีระดับความคิดเห็น คือ เหมาะสม (+1) ไม่แน่ใจ (0) ไม่เหมาะสม (-1) เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (content validity) ตรงประเด็นตามที่ผู้วิจัยต้องการตรวจสอบ โดยผู้เชี่ยวชาญแต่ละท่านได้ให้คำแนะนำและให้ข้อเสนอแนะ ซึ่งผู้วิจัยได้นำมาปรับปรุงความแข็งแรงและความคงทนของนวัตกรรมเมื่อใช้ในการฝึกปฏิบัติเป็นเวลานาน โดยการหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (index of item objective congruence: ioc) พบว่ามีค่า ioc เท่ากับ 1.00 ทุกข้อคำถาม อยู่ในเกณฑ์ดีมาก สอดคล้องกับ สิทธิชัย ผิวเหลือง (2562) ได้ทำการวิจัยเรื่องการสร้างเครื่องมือวัดพลังการเตะในกีฬามวยไทย พบว่า เครื่องมือวัดพลังการเตะในกีฬามวยไทย ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีความเที่ยงตรงเฉพาะหน้า เท่ากับ 1.0 ซึ่งอยู่ในระดับดีมาก และมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ความน่าเชื่อถือได้ จากการทดสอบซ้ำ เท่ากับ 0.787 ซึ่งอยู่ในระดับยอมรับได้ จึงสรุปได้ว่าเครื่องมือที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีคุณภาพ พบว่า มีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (content validity) และสามารถใช้ในการฝึกการออกหมัดตรงได้จริง - การศึกษาหาค่าความเชื่อถือได้ (reliability) ของนวัตกรรมPunch Force ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น โดยผู้วิจัยได้ดำเนินการทดสอบการชกหมัดตรงกับเครื่องมือที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นจำนวน 2 ครั้ง ระยะเวลาห่างกัน 1 สัปดาห์และหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างการทดสอบทั้ง 2 ครั้ง พบว่าได้ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (r) เท่ากับ 0.99 ซึ่งเมื่อนำไปพิจารณาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (r) ตามเกณฑ์ของ Kirkendall, Gruber, & Johnson (1987) การทดสอบค่าความเชื่อถือได้ต้องมีค่าไม่น้อยกว่า 0.60 ตามมาตรฐานการประเมินสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ โดยค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (r) ของเครื่องมือที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีค่าเท่ากับ 0.99 มีค่าความเชื่อถือได้ (reliability) อยู่ในระดับดีมาก สอดคล้องกับ วิทยา แก้วบังตู (2564) ทำการสร้างเครื่องมือทดสอบเวลาปฏิกิริยาตอบสนองในกีฬาสากลประเภทเซเบอร์ พบว่า เครื่องมือทดสอบเวลาปฏิกิริยาตอบสนองในกีฬาสากลประเภทเซเบอร์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีความเที่ยงตองเฉพาะหน้าเท่ากับ 1.00 ซึ่งอยู่ในระดับดีมากและมีค่าความเชื่อถือได้จากการทดสอบซ้ำ เท่ากับ 0.89 ซึ่งอยู่ในระดับดี จึง พบว่า นวัตกรรม Punch Force มีความเชื่อถือได้ในฝึกปฏิบัติชกหมัดตรงได้
สรุปได้ว่า พบว่า นวัตกรรม Punch Force มีคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก สามารถใช้ในการพัฒนาทักษะการออกหมัดตรงในรายวิชามวยไทยและศิลปะการแสดงมวยไทย
ข้อเสนอแนะ
ข้อเสนอแนะการวิจัยครั้งนี้
ผู้วิจัยต้องพยายามควบคุมตัวแปรในเรื่องของการพักผ่อนและศึกษาขั้นตอนการทดสอบซ้ำ (test-retest) ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้ผลการวิจัยคลาดเคลื่อน
ข้อเสนอแนะการวิจัยครั้งถัดไป
- ควรพัฒนานวัตกรรมที่สามารถในได้ในการออกหนัดได้ทุกประเภท
- ควรพัฒนาให้นวัตกรรมมีความแข็งแรงทนทานมากยิ่งขึ้น แต่ยังยึดหลักความพอเพียงในการสร้างนวัตกรรม
- ควรหาประสิทธิภาพและประสิทธิผลของนวัตกรรม
เอกสารอ้างอิง
กรมส่งเสริมวัฒนธรรม. (2556). วันมวยไทย. กรุงเทพมหานคร: มปพ.
ต่อศักดิ์ แก้วจรัสวิไล. (2559). ศาสตร์และศิลป์การสอนมวยไทย. นครปฐม: บ้านการพิมพ์
วิทยา แก้วบังตู.(2561).การสร้างเครื่องทดสอบเวลาตอบสนองในกีฬาดาบสากลประเภทเซเบอร์. นิสิตปริญญาโทสาขาวิชาพลศึกษา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, มหาวิทยาลัยวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
สิทธิชัย ผิวเหลือง. (2562). การสร้างเครื่องมือวัดพลังการเตะในกีฬามวยไทย.
วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพลศึกษา, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
สมสมร ก้านค้างพลู. (2561). การสร้างแบบฝึกท่าทางของทักษะการเตะตัดด้วยนวัตกรรม “Focus Kick”
สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่4/4โรงเรียนบางแพปฐมพิทยา. ราชบุรี: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน.