
ผลการจัดการเรียนรู้พลศึกษาโดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะการปฏิบัติของเดฟร่วมกับตาราง 9 ช่องที่มีต่อทักษะการเคลื่อนไหวของกลมวยการออกอาวุธในกีฬามวยไทย
สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
The Effect of Physical Education Learning Management Using Dave’s Instructional Model with The Nine-square table on The Movement Skills of Boxing Techniques for using weapons
in Muay Thai for Grade 7 Students
กฤษณา มหิมา¹ วิชนนท์ พูลศรี²
Kritsana Mahima1, Wichanon Poonsri²
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนทักษะการเคลื่อนไหวของกลมวยการออกอาวุธในกีฬามวยไทยโดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของเดฟร่วมกับตาราง 9 ช่อง ก่อนและหลังการทดลองของกลุ่มทดลอง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 30 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Selection) โดยเป็นห้องเรียนที่มีการคละระดับความสามารถของนักเรียน และมีคะแนนทักษะการเคลื่อนไหวของกลมวยการออกอาวุธในกีฬามวยไทยอยู่ในระดับปานกลาง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1.แผนการจัดการเรียนรู้พลศึกษาโดยรูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของเดฟร่วมกับตาราง 9 ช่อง (มีค่าความตรงเชิงเนื้อหา เท่ากับ 1.00) 2.แบบประเมินทักษะการเคลื่อนไหวของกลมวยการออกอาวุธในกีฬามวยไทย (มีค่าความตรงเชิงเนื้อหา เท่ากับ 1.00 และค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.84) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบความแตกต่างค่าเฉลี่ยของคะแนนด้วยค่า “ที”(T-test) ผลการวิจัยพบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนทักษะการเคลื่อนไหวของกลมวยการออกอาวุธในกีฬามวยไทยหลังการทดลองของกลุ่มตัวอย่างสูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
คำสำคัญ : การจัดการเรียนรู้พลศึกษา, รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของเดฟ, ทักษะการเคลื่อนไหวของกลมวยการออกอาวุธ, กีฬามวยไทย,
¹นิสิตระดับปริญญาตรี ภาควิชาพลศึกษาและกีฬา คณะศึกษาศาสตร์และพัฒนาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน
A University Student, Department of Physical Education and Sports, Education and Development Sciences, Kasetsart University Kamphaeng Sean
²อาจารย์ภาควิชาพลศึกษาและกีฬา คณะศึกษาศาสตร์และพัฒนาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน
Lecturer, Department of Physical Education and Sports, Education and Development Sciences, Kasetsart University Kamphaeng Sean
Abstract
This research aimed to: 1) to compare the average of The Movement Skills of Boxing Techniques for using weapons in Muay Thai before and after the experiment through Physical Education Learning Management Using Dave’s Instructional Model with The Nine-square table. The sample group totaled 30 people, that were obtained from purposive selection by being a classroom with mixed-ability students. And The Movement Skills of Boxing Techniques for using weapons in Muay Thai, that skills is a moderate. The instruments were comprised of : 1) Physical education learning management lessen plan using Dave’s Instructional Model with The Nine-square table (content validity was 1.00), 2) The assessment form of The Movement Skills of Boxing Techniques for using weapons in Muay Thai (content validity was 1.00 and reliability was 0.84). The data were analyzed by mean, standard deviation and t-test. The results showed the average score of The Movement Skills of Boxing Techniques for using weapons in Muay Thai by using Dave’s Instructional Model with The Nine-square table after the experiment of the sample group was higher than before the experiment with Statistically significant at the level .05.
Keyword: Physical education learning management, Dave's instructional model, The Nine-square table, The Movement Skills of Boxing Techniques for using weapons, Muay Thai
คำนำ
การศึกษาขั้นพื้นฐานของประเทศไทยได้กำหนดให้จัดการเรียนการสอนสำหรับพัฒนาทรัพยากรบุคคลของประเทศให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี เน้นให้มีความพร้อมทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สติปัญญา ศีลธรรมเป็นพื้นฐานซึ่งเน้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางบนพื้นฐานความเชื่อว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มศักยภาพ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานของกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษาได้กำหนดมาตรฐานตัวและตัวชี้วัดเพื่อพัฒนาตามสาระที่ 3 ผู้เรียนเน้นการเคลื่อนไหว การออกกำลังกาย การเล่มเกม กีฬาไทย และกีฬาสากล นำกิจกรรมต่างๆที่กล่าวมาข้างต้นมาใช้พัฒนาผู้เรียน (Ministry of Education, 2008)
ซึ่งรายวิชาการจัดการเรียนรู้พลศึกษาในปัจจุบันเลือกกีฬาไทยนำมาใช้ในการเรียนการสอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกีฬามวยไทยเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติไทยมานานมีลีลาการเคลื่อนไหวหรือแม่ไม้มวยไทยที่สวยงาม แฝงไว้ด้วยความแข็งแกร่งดุดัน สามารถฝึกเพื่อป้องกันตนเอง เพื่อความแข็งแรงของร่างกาย และเพื่อเป็นอาชีพ นักมวยไทยจนถึงปัจจุบันนี้ รวมถึงมีสถาบันทางการศึกษาอาทิเช่น วิทยาลัยมวยไทย มหาวิทยาลัยราชภัฎหมู่บ้านจอมบึง จ.ราชบุรี เปิดสอนหลักสูตร สาขามวยไทย ตั้งแต่ระดับปริญญาตรีถึงระดับปริญญาเอก ประกอบกับในปัจจุบันการศึกษาของประเทศไทยได้ผลักดันมวยไทยสู่รั้วโรงเรียน ผ่านโครงการต้นกล้ามวยไทย (Dailynews, 2024) ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับ Department of Education (2012) ที่กล่าวว่า มวยไทย เป็นศิลปะการต่อสู้ของชาติไทย และสามารถฝึกฝนเพื่อเป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพได้นำไปสู่การสนับสนุนให้มีการจัดการเรียนการสอนมวยไทยขึ้นในโรงเรียนเพื่อใช้ในการพัฒนาผู้เรียนด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม สติปัญญา และส่งเสริมให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าของศิลปะทางวัฒนธรรมของชาติ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายสำคัญคือมีความรู้ รู้คุณค่าเกี่ยวกับมวยไทย มีสุขภาพกาย สุขภาพจิตที่ดี รักการออกกำลังกาย นำกีฬามวยไทยไปใช้ในการออกำลังกายเพื่อสุขภาพและป้องกันตัว และมีน้ำใจนักกีฬา กตัญญู มีความอ่อนน้อม ถ่อมตน
จากการสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างครูผู้สอนพลศึกษาและครูมวยไทยของสถานศึกษาที่จัดการเรียนการสอนที่ผ่านมาครูผู้สอนได้พบปัญหาที่สำคัญจำเป็นของทักษะมวยไทยของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 คือนักเรียนส่วนใหญ่ปฏิบัติทักษะการเคลื่อนไหวของกลมวยการออกอาวุธสำหรับกีฬามวยไทยได้เป็นจำนวนน้อยและรวมถึงมีนักเรียนที่ไม่สามารถปฎิบัติทักษะการเคลื่อนไหวของกลมวยการออกอาวุธสำหรับกีฬามวยไทยได้เช่นกัน และสอดคล้องกับงานวิจัยของ Phunsa (2018) กล่าวถึงกลมวยว่าเป็นการใช้เทคนิคการสอนมวยไทยโดยเน้นการเคลื่อนไหวท่าทางมวยไทยโดยใช้เทคนิคการจับการเคลื่อนไหวซึ่งพบว่าเป็นปัญหาที่ควรแก้ไขเป็นอันดับแรก และสอดคล้องกับงานวิจัยของ Kaewcharutwirai & Yomdit (2011) ศึกษาเรื่องการพัฒนาหลักสูตรรายวิชามวยไทยระดับมัธยมศึกษาตอนต้น แสดงให้เห็นถึงความสำคัญจำเป็นในการศึกษาและแก้ปัญหาของนักเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
ปัญหาข้างต้นทำให้ผู้วิจัยศึกษาวิธีการสอนที่มีวัตถุประสงค์ช่วยปรับเชิงพฤติกรรมทางทักษะการปฏิบัติซึ่งเรียกวิธีการสอนนี้ว่า รูปแบบการเรียนการสอนทักษะการปฏิบัติของเดฟ ( Dave’s Intructional Model for Psychomotor Domain) ได้จัดลำดับขั้นของการเรียนรู้ทางด้านทักษะปฏิบัติไว้ 5 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่ 1 ขั้นการเลียนแบบ (imitation), ขั้นที่ 2 ขั้นการลงมือกระทำตามคำสั่ง (manipulation), ขั้นที่ 3 ขั้นการกระทำอย่างถูกต้องแม่นยำ (precision), ขั้นที่ 4 ขั้นการแสดงออก (artculation) และขั้นที่ 5 ขั้นการกระทำอย่างเป็นธรรมชาติ (naturalization) การสอนวิธีการนี้ช่วยส่งเสริมให้นักเรียนเกิดความรู้ความเข้าใจและสามารถทำในสิ่งนั้นได้ถูกต้องในทักษะมีความแม่นยำ ชำนาญและยังเป็นการสอนให้นักเรียนได้ใช้ทักษะในการสังเกต และรูปแบบการสอนนี้มุ่งช่วยให้ผู้เรียนเกิดความสามารถทางด้านทักษะการปฏิบัติ สามารถปฏิบัติการเคลื่อนไหวการออกอาวุธในกีฬามวยไทย ปฏิบัติได้อย่างถูกต้องแม่นยำและชำนาญ จึงเป็นการสอนที่ยึดผู้สอนเป็นศูนย์กลาง เพราะผู้สอนเป็นผู้วางแผน ดำเนินการ และลงมือปฏิบัติ ผู้เรียนอาจมีส่วนร่วมบ้างเล็กน้อย วิธีสอนแบบนี้จึงเหมาะสำหรับ จุดประสงค์การสอนที่ต้องการให้ผู้เรียนเห็นขั้นตอนการปฏิบัติ เช่น วิชาพลศึกษา ศิลปศึกษา อุตสาหกรรมศิลป์ วิชาในกลุ่มการงานและพื้นฐานอาชีพ และเพื่อแสดงให้ผู้เรียนได้เห็นขั้นตอนการปฏิบัติต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง และสามารถปฏิบัติตามได้ (Khamanee, 2020) และรูปแบบการฝึกที่เน้นเรื่องการเคลื่อนไหวที่หลากหลาย พัฒนาความรวดเร็วในการเคลื่อนไหวของมือและเท้า รวมถึงความสัมพันธ์ ของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ตลอดจนการทรงตัวในการเคลื่อนไหวร่างกายให้มีประสิทธิภาพมาก ทั้งยังพัฒนาด้านการรับรู้ การคิด ตัดสินใจ ตลอดการเคลื่อนไหวรวมถึงความจำ ความแม่นยำในการเคลื่อนไหวมากยิ่งขึ้น และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทุกกีฬาหรือทุกรูปแบบการออกกำลังกาย เรียกว่า การฝึกด้วยตาราง 9 ช่อง (Krabuanrat ,2008) ซึ่งสามารถใช้ในการพัฒนาทักษะการเคลื่อนไหวได้อย่างหลากหลาย
จากข้อมูลข้างต้นสะท้อนถึงความสำคัญของรูปแบบการเรียนการสอนทักษะการปฏิบัติของเดฟและตาราง 9 ช่อง ในการพัฒนาทักษะการเคลื่อนไหวของกลมวยการออกอาวุธในกีฬามวยไทย ซึ่งช่วยพัฒนาผ่านขั้นตอนการสอนทั้ง 5 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นการเลียนแบบ ขั้นการลงมือกระทำตามคำสั่ง ขั้นกระทำอย่างถูกต้องแม่นยำ ขั้นการแสดงออก และ ขั้นการกระทำอย่างเป็นธรรมชาติรวมถึงการใช้ตาราง 9 ช่องมากำหนดขอบเขตและการวางแผนการเดินตามช่องที่กำหนด เมื่อปฏิบัติตามขั้นตอนทั้ง 5 ขั้นนี้แล้วผู้เรียนจะสามารถเคลื่อนไหวของกลมวยการออกอาวุธสำหรับกีฬามวยไทยได้อย่างคล่องแคล่วและยังช่วยให้ผู้เรียนแสดงทักษะปฏิบัติด้วยความถูกต้องแม่นยำและสู่การกระทำอย่างธรรมชาติตามวัตถุประสงค์ของวิธีการสอนดังกล่าว
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนทักษะการเคลื่อนไหวของกลมวยการออกอาวุธสำหรับกีฬามวยไทยโดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของเดฟร่วมกับตาราง 9 ช่อง ก่อนและหลังการทดลองของกลุ่มทดลอง
สมมติฐานการวิจัย
ค่าเฉลี่ยคะแนนทักษะการเคลื่อนไหวของกลมวยการออกอาวุธสำหรับกีฬามวยไทยหลังการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของเดฟร่วมกับตาราง 9 ช่อง สูงกว่าก่อนเรียน
ขอบเขตการวิจัย
- ขอบเขตด้านประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ดังนี้
ประชากรในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนศรีวิชัยวิทยา ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 5 ห้อง ทั้งหมด 150 คน
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/3 จำนวน 30 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Selection) โดยเป็นห้องเรียนที่มีการคละระดับความสามารถของนักเรียน และมีคะแนนทักษะการเคลื่อนไหวของกลมวยการออกอาวุธสำหรับกีฬามวยไทยอยู่ในระดับปานกลาง
- ขอบเขตด้านระยะเวลา คือ 6สัปดาห์ สัปดาห์ละ 1 วัน วันละ 1 คาบ (50 นาที) ระหว่างเดือน ม.ค. 2565 ถึง มี.ค. 2565
- ขอบเขตด้านตัวแปร
ตัวแปรต้น (Independent Variables) คือ การจัดการเรียนรู้พลศึกษาโดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะการปฏิบัติของเดฟร่วมกับตาราง 9 ช่อง
ตัวแปรตาม (dependent Variables) คือ ทักษะการเคลื่อนไหวของกลมวยการออกอาวุธในกีฬามวยไทย
วิธีการดำเนินการวิจัย
การวิจัยเรื่องนี้เป็นการศึกษาผลการจัดการเรียนรู้พลศึกษาโดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะการปฏิบัติของเดฟร่วมกับตาราง 9 ช่องที่มีต่อทักษะการเคลื่อนไหวของกลมวยการออกอาวุธในกีฬามวยไทยสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1เป็นการวิจัยเชิงทดลองเบื้องต้น (Pre - Experimental Research) ผู้วิจัยดำเนินการทดลองตามแบบดำเนินการทดลองกับตัวอย่างจำนวนหนึ่งกลุ่มและทำการทดสอบก่อนและหลังการทดลอง (One Group Pretest-Posttest design) โดยมีขั้นตอนการดำเนินการวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นที่ 1 การเตรียมการทดลอง มีรายละเอียดการดำเนินการต่อไปนี้
1.1 การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสาร วารสาร บทความ หนังสือ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้พลศึกษาวิชามวยไทย รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของเดฟ รูปแบบการฝึกตาราง 9 ช่อง แบบประเมินทักษะการเคลื่อนไหวของกลมวยการออกอาวุธในกีฬามวยไทย
1.2 การสร้าง พัฒนา และหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่
1) แผนการจัดการเรียนรู้พลศึกษาโดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะการปฏิบัติของเดฟร่วมกับตาราง 9 ช่องที่มีต่อทักษะการเคลื่อนไหวของกลมวยการออกอาวุธในกีฬามวยไทยสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 แผนการจัดการเรียนรู้พลศึกษาฯ ดังกล่าวที่สร้างขึ้นนำไปให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือโดยตรวจพิจารณาความตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ซึ่งมีค่าความดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence : IOC) เท่ากับ 1.00 หมายถึง มีความตรงตามเนื้อหาสามารถใช้ได้
2) แบบประเมินทักษะการเคลื่อนไหวของกลมวยการออกอาวุธในกีฬามวยไทยสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 นำแบบประเมินดังกล่าวที่สร้างขึ้นนำไปให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือโดยตรวจพิจารณาความตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ซึ่งมีค่าความดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence : IOC) เท่ากับ 1.00 หมายถึง มีความตรงตามเนื้อหาสามารถใช้ได้
และประเมินค่าความเชื่อมั่น กำหนดนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 30 คน ซึ่งเป็นนักเรียนคนละกลุ่มกับกลุ่มตัวอย่างที่ใช้เป็นกลุ่มตัวอย่างเพื่อทดลองใช้ (Try out) เครื่องมือคือ แบบประเมินทักษะการเคลื่อนไหวของกลมวยการออกอาวุธในกีฬามวยไทย และนำไปทดสอบจำนวน 2 รอบ (สัปดาห์ละ 1วัน จำนวน 2 สัปดาห์ติดจากครูผู้ประเมินคนเดิม)เป็นการทดสอบซ้ำ (Test-retest) เพื่อเป็นการวัดค่าความเชื่อมั่น (Reliability) โดยใช้การวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson’s Correlation Coefficient) โดยเกณฑ์ที่ยอมรับได้รับของค่าความเชื่อมั่นในครั้งนี้ต้องได้ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์มากกว่า 0.7 ขึ้นไป (Stephanie Glen, 2021) ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson’s Correlation Coefficient) เท่ากับ 0.84 หมายถึง มีค่าความเชื่อมั่น (Reliability) สามารถใช้ได้
ขั้นที่ 2 การดำเนินการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูล ดำเนินการ ดังนี้
2.1 ดำเนินการจัดการเรียนการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้พลศึกษาโดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของเดฟรูปแบบการฝึกตาราง 9 ช่อง ประกอบแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
2.2 ผู้วิจัยนัดหมายกับนักเรียนในการทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) โดยใช้แบบประเมินทักษะที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
2.3 ดำเนินการสอนการเคลื่อนที่ของมวยไทยในทิศทางต่างๆโดยเริ่มจากท่าจดมวยเป็นท่าเริ่มต้นเสมอ พร้อมกลมวยการออกอาวุธ เช่น การชก เป็นต้น การ 6 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 1 วัน วันละ 1 คาบ (50 นาที)
2.4 ผู้วิจัยสอนครบตามสัปดาห์ที่กำหนดไว้ และดำเนินการทดสอบหลังการทดลอง (Post-test) โดยใช้แบบประเมินทักษะที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จากนั้นนำผลของการทดลองมาวิเคราะห์ทางสถิติในขั้นตอนที่ 3
ขั้นที่ 3 การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้
ผู้วิจัยนำข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาตรวจสอบความสมบูรณ์และความถูกต้องก่อนนำไปวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป (SPSS) รุ่น 21.0 มีสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้
3.1 โดยหาค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) โดยเปรียบเทียบค่าคะแนนทักษะการเล่นลูกสองมือล่าง ของนักเรียนกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยการทดสอบค่าที (t-test)
3.2 เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนทักษะการเคลื่อนไหวของกลมวยการออกอาวุธสำหรับกีฬามวยไทยก่อนและหลังการทดลองของนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง โดยการทดสอบ (Paired t-test) ที่นัยสำคัญทางสถิติ .05
ผลการวิจัยและการอภิปรายผล
ผลการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยที่ศึกษาเรื่อง ผลการจัดการเรียนรู้พลศึกษาโดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะการปฏิบัติของเดฟร่วมกับตาราง 9 ช่องที่มีต่อทักษะการเคลื่อนไหวของกลมวยการออกอาวุธในกีฬามวยไทยสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัยขอสรุปผลการวิจัย ดังนี้
ตอนที่ 1 ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนทักษะการเคลื่อนไหวของกลมวยการออกอาวุธในกีฬามวยไทยโดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของเดฟร่วมกับตาราง 9 ช่อง ก่อนและหลังการทดลองของนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง แสดงรายละเอียดไว้ดังตารางที่ 1
ตารางที่ 1 ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนทักษะการเคลื่อนไหวของกลมวยการออกอาวุธสำหรับกีฬามวยไทยโดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของเดฟร่วมกับตาราง 9 ช่อง ก่อนและหลังการทดลองของนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง (n = 30)
|
ตัวแปรที่ศึกษา
|
ก่อนการทดลอง
|
หลังการทดลอง |
t
|
p
|
||
|
|
S.D.
|
|
S.D. |
|||
|
ทักษะการเคลื่อนไหวของกลมวยการออกอาวุธสำหรับกีฬามวยไทย |
3.33 |
0.48 |
4.27 |
0.87 |
5.22 |
0.00* |
* p < .05
จากตารางที่ 1 พบว่า นักเรียนกลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยคะแนนทักษะการเคลื่อนไหวของกลมวยการออกอาวุธสำหรับกีฬามวยไทยโดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของเดฟร่วมกับตาราง 9 ช่อง ก่อนเรียน เฉลี่ยเท่ากับ 3.33 คะแนน (S.D. = 0.48) และมีคะแนนหลังเรียน เฉลี่ยเท่ากับ 4.27 คะแนน (S.D. = 0.87) พบว่า คะแนนทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
อภิปรายผล
จากผลการวิจัยผลการจัดการเรียนรู้พลศึกษาโดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะการปฏิบัติของเดฟร่วมกับตาราง 9 ช่องที่มีต่อทักษะการเคลื่อนไหวของกลมวยการออกอาวุธในกีฬามวยไทยสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สามารถอภิปรายผลได้ดังนี้
- ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนทักษะการเคลื่อนไหวของกลมวยการออกอาวุธสำหรับกีฬามวยไทยก่อนและหลังใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะการปฏิบัติของเดฟร่วมกับตาราง 9 ช่องของนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง พบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนทักษะการเคลื่อนไหวของกลมวยการออกอาวุธในกีฬามวยไทยหลังการทดลองของกลุ่มตัวอย่างสูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานการวิจัยข้อที่ 1 คือ นักเรียนกลุ่มตัวอย่างที่ได้เรียนด้วยรูปแบบการเรียนการสอนทักษะการปฏิบัติของเดฟร่วมกับตาราง 9 ช่องมีค่าเฉลี่ยคะแนนทักษะการเคลื่อนไหวของกลมวยการออกอาวุธในกีฬามวยไทยหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง แสดงให้เห็นว่าผลที่เกิดขึ้นจากวิธีการสอนที่เหมาะสมเป็นลำดับขั้นตอนที่ช่วยพัฒนาทักษะปฏิบัติ ส่งผลให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้เชิงการปฏิบัติและด้านความรู้ โดยเป็นไปในทิศทางเดียวกับPhunsa (2018) ที่ได้ศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวในกีฬามวยไทย ได้แนวทางการสอนมวยไทยโดยเน้นการเคลื่อนไหวท่าทางมวยไทยโดยใช้เทคนิคการจับการเคลื่อนไหว ซึ่งสอดคล้องกับ Aksorndet (2011) ที่กล่าวไว้ว่า แบบฝึกทักษะเป็นสื่อการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นอย่างมีจุดหมายที่แน่นอน เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการกระทำจริง เป็นประสบการณ์ตรงของผู้เรียนทำให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรียนสามารถเรียนรู้และจดจำสิ่งที่เรียนได้ดีและนำการเรียนรู้และความรู้ที่ได้ไปใช้ในสถานการณ์อื่นที่มีลักษณะคล้ายกันได้ และสอดคล้องกับ Taokaew (2019) ที่กล่าวว่า รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นทักษะปฏิบัติส่งผลโดยตรงต่อทักษะการโยนของกีฬาเปตอง
ข้อเสนอแนะ
- ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้
1.1 การนำไปใช้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะการปฏิบัติของเดฟร่วมกับตาราง 9 ช่องที่มีต่อทักษะการเคลื่อนไหวของกลมวยการออกอาวุธในกีฬามวยไทยสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1สามารถนำไปเป็นแนวทางการพัฒนาแบบฝึกทักษะของกีฬาชนิดอื่น ๆ และระดับชั้นอื่น ๆ
1.2 การจัดการเรียนรู้พลศึกษาโดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะการปฏิบัติของเดฟร่วมกับตาราง 9 ช่องที่มีต่อทักษะการเคลื่อนไหวของกลมวยการออกอาวุธในกีฬามวยไทยสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1ควรศึกษารายละเอียดของแผนการจัดการเรียนรู้ การวัดและประเมินผลให้เข้าใจเพิ่มขึ้น เพื่อที่จะได้จัดเตรียมสื่อ อุปกรณ์การเรียนรู้ให้ครบตามที่ระบุไว้หรืออาจมีการดัดแปลงให้เหมาะสมกับชนิดของกีฬานั้น ๆ เพื่อให้การจัดการเรียนการสอนเป็นไปอย่างมีลำดับขั้นตอนและบรรลุตามวัตถุประสงค์
- ข้อเสนอแนะในการทำการวิจัยครั้งต่อไป
2.1 ควรวิจัยและพัฒนาการจัดการเรียนรู้พลศึกษาโดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะการปฏิบัติของเดฟร่วมกับตาราง 9 ช่องที่มีต่อทักษะการเคลื่อนไหวของกลมวยการออกอาวุธในกีฬามวยไทยสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จัดให้มีแบบฝึกทักษะที่เหมาะสมกับทักษะและพัฒนาการของนักเรียนในระดับชั้นต่าง ๆ เพื่อให้มีการพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่อง
2.2 ควรมีการสร้างแบบฝึกทักษะพื้นฐานกีฬาชนิดต่าง ๆ โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะการปฏิบัติของเดฟร่วมกับตาราง 9 ช่องโดยนำไปปรับใช้กับนักเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาต่อไป
เอกสารอ้างอิง
|
Aksorndet, N. (2011). Creating reading comprehension exercises for Mathayom 2 students. [Master of Education (Curriculum and Instruction), Burapha University] |
|
Dailynews. (2024). BMA and SAT promote 'Muay Thai' in schools, piloting in 20 locations. (https://www.dailynews.co.th/news/3126794/). Copyright Permission. |
|
Department of Education. (2012). Muay Thai Sports Activity Curriculum in Schools under the Bangkok Metropolitan Administration. (https://webportal.bangkok.go.th/public/user_files_editor /116/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B8%B1 %E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%9B/%E0%B8%81%E0%B8%97 %E0%B8%A8/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8% A1%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8 %92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8 %9A/Allfile.pdf). Copyright Permission. |
|
Glen, S. (2021). Test-Retest Reliability. https://www.statisticshowto.com/test-retest-reliability/ |
|
Kaewcharutwirai, T & Yomdit, C. (2011). Development of the Muaythai Curriculum in the Secondary Education Following the Basic Education Core Curriculum B.E. 2551 (A.D. 2008). Silpakorn Education Research Journal, 2(2), 274-286 |
|
Khamanee, T. (2020). Pedagogical Sciences : Knowledge for effective organization of learning processes. Publisher of Chulalongkorn University [translated]. |
|
Krabuanrat, C. (2008) Table 9. M.P.T: Kasetsart University. Research and Development Institute of Kasetsart University |
|
Ministry of Education. (2008). Basic Education Core Curriculum B.E. 2551. Bangkok: The Agricultural Cooperative Federation of Thailand. |
|
Phunsa, S. (2018). The Development of Augmented Reality for Creative Learning Martial Art of Thai Boxing. Journal of Technology Management Rajabhat Maha Sarakham University, 5(2), 146-154 |
|
Taokaew, P. (2019). The Effect of Davies’ Instructional Model in Psycho-Motor Domain and Imginary to Enhance Lower-secondary Students’ Throwing A Petanque Ability at Patumwan Demonstration School, Srinakharinwirot University. [Master of Education (Health Education & Physical Education), Srinakharinwirot University] |