
การสร้างเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริค
สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ
The Construction of Rubric Scoring Criteria
for The Wai Kru Muaythai Skills for Student in Thailand National Sports University
ธีระวัฒน์ ดอนอินอาจ1 ราชันย์ เฉลียวศิลป์2
Teerawat Doninart1 and Rachan Chaliawsil2
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาและสร้างเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริค สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ 2) หาคุณภาพเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริค สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ผู้ให้ข้อมูลหลักประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญตรวจค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาค่า (CVI) จำนวน 5 คน ประกอบ ด้วยผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านมวยไทย จำนวน 4 คน และทางด้านการวัดและประเมินผลทางพลศึกษา จำนวน 1 คน และทดสอบหาค่าความเป็นปรนัยของประเมิน จำนวน 1 คน กับนักศึกษาอาสาสมัครจำนวน 30 คน ด้วยวิธีทดสอบซ้ำ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ เกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริค สำหรับมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติแบบ 5 ระดับคะแนน การวิเคราะห์ข้อมูล โดยการหาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (CVI) และหาค่าสัมประสิทธิสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน
ผลการวิจัยพบว่า
- เกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริค สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ประกอบด้วย 3 ด้าน คือ 1. ความถูกต้อง ประกอบด้วย 8 ท่า ดังนี้ 1)เทพพนม 2) กราบเบญจางคประดิษฐ์ 3) กอบพระแม่ธรณี 4) ถวายบังคม 5) ปฐม 6) สอดสร้อยมาลา 7) ย่างสามขุม 8) ย่างสุขเกษม 2. การจัดวางสมดุลของร่างกาย และ 3. ความสอดคล้องจังหวะดนตรี
- เกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริค สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ โดยมีค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (CVI) เท่ากับ 1.00 และมีค่าความเป็นปรนัยผู้ของผู้ประเมิน 1 คน เท่ากับ 0.987 โดยผลการทดสอบชี้ให้เห็นค่าความสัมพันธ์ระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
คำสำคัญ เกณฑ์การประเมินแบบรูบริค การไหว้ครูมวยไทย มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ
Abstract
This research aimed to: 1) study and develop a rubric-based assessment criteria for the Wai Kru Muay Thai skill for students at Thailand National Sports University; 2) evaluate the quality of the rubric-based assessment criteria for Wai Kru Muay Thai skills for students at Thailand National Sports University. The primary data sources included five experts who assessed content validity index (CVI): four experts in Muay Thai, one expert in physical education measurement and evaluation, and one expert in objectivity evaluation. Additionally, 30 volunteer students were tested and retested method.The research instruments consisted of a five-level rubric-based assessment criteria for Wai Kru Muay Thai skills at Thailand National Sports University; data analysis involved content validity index (CVI) and reliability coefficients for evaluators and inter-rater reliability were calculated using Pearson correlation coefficients.
The research findings revealed that:
- The assessment criteria consisted of three components: 1. Accuracy – which includes eight movements: 1) Thep Phanom, 2) Krab Benjangkrapadit, 3) Krob Phra Mae Thorani, 4) Thawaibangkom, 5) Pathom, 6) Sodsoi Mala, 7) Yang Samkhum, and 8) Yang Sukhakasem, 2. Balance of the Body, and 3. Rhythm Alignment with Music.
- The rubric-based assessment criteria for Wai Kru Muay Thai skills at Thailand National Sports University exhibited a content validity index (CVI) of 1.00, with evaluator reliability of R = 0.987. The statistical significance at the 0.05 level demonstrated high relevance.
Keywords: Rubric-based assessment criteria, Wai Kru Muay Thai, Thailand National Sports University.
-------------------------
Email:
1นายธีระวัฒน์ ดอนอินอาจ นักศึกษาสาขาพลศึกษาและกีฬา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ
Mr.Teerawat Doninart Student of Program in Physical Education and sport, Faculty of Physical Education, Thailand National Sports University, Suphanburi Campus
2ผู้ช่วยศาสตราจารย์ คณะวิทยาศาสตร์การกีฬาและสุขภาพ มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตสุพรรณบุรี
2Assistant Professor, Faculty of Health and Sports Science, Thailand National Sports University, Suphanburi Campus
คำนำ
มวยไทย เป็นกีฬาประจำชาติไทยซึ่งเป็นศิลปะที่ใช้อวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายในการต่อสู้และการแข่งขันของคนไทย จากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งก่อนการชกทุกครั้งก็จะมีการไหว้ครูมวยไทยเพื่อทำสมาธิระลึกถึงคุณบิดา มารดา ครูบาอาจารย์ ผู้ประสาทประสิทธิ์วิชา อีกทั้งยังเป็นการสำรวจพื้นที่ในการต่อสู้และอีกอย่างที่สำคัญยังเป็นการเตรียมความพร้อมในการอบอุ่นร่างกายสอดคล้องกับราชันย์ เฉลี่ยวศิลป์ (2558) ได้กล่าวถึง การไหว้ครูมวยไทยไว้ว่า ก่อนที่จะทำการชกมวยไทย นักมวยจะต้องทำการไหว้ครูมวยไทยทุกครั้ง โดยถือเป็นวัฒนธรรมประเพณีอันสำคัญยิ่งของมวยไทยที่นักมวยจะต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด การไหว้ครูมวยไทยเป็นประเพณีที่ประกอบด้วยคำ 2 คำ ที่มีความหมายแยกกัน คือ ไหว้ครู และร่ายรำมวย (นายจรัสเดช อุลิต. สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2567)
ปัจจุบันการไหว้ครูมวยไทยเป็นที่นิยมชื่นชอบ มีการแข่งขันทั้งในระดับเด็กและเยาวชนในสถานศึกษา เช่น งานศิลปะหัตถกรรมนักเรียน ศูนย์อนุรักษ์ศิลปะมวยไทย สมาคมกีฬาไทยในพระบรมราชูปถัมภ์แห่งประเทศไทย มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาลัยมวยไทยและการแพทย์แผนไทย ซึ่งในการแข่งขันแต่ละครั้งจะพบว่าผู้เข้าร่วมการแข่งขันหรือผู้ฝึกสอนส่วนมากไม่ยอมรับในผลการแข่งขัน ซึ่งเมื่อวิเคราะห์ในรายละเอียดพบว่าเกณฑ์การตัดสินในรายการต่างๆ เป็นเกณฑ์การให้คะแนนในเชิงปริมาณซึ่งไม่สามารถสื่อความหมายให้ผู้ตัดสินสามารถตัดสินผลการแข่งขันได้ตรงกับผู้ส่งทีมเข้าร่วมการแข่งขันและผู้ชมทั่วไป ซึ่งบุคคลในวงการดังกล่าวล้วนมาจากสถาบันผลิตครูพลศึกษาแทบทั้งสิ้น เมื่อย้อนกลับมาดูหลักสูตรการเรียนการสอน สาขาพลศึกษา ปี2563 การเรียนการสอนและการวัดประเมินผลในรายวิชา ทักษะมวยไทยไม่ปรากฎเกณฑ์การประเมินในลักษณะเชิงคุณภาพที่จะสามารถสื่อความหมายให้ผู้ที่สนใจศึกษาทักษะมวยไทยตลอดการผลิตและการสร้างทีมกีฬามวยไทยสู่การแข่งขันได้มีความรู้ความเข้าใจได้ตรงกัน(หลักสูตรศึกษาศาสตร์บัณฑิต ฉบับปรับปรุง 2563) มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญและคุณค่าของกีฬามวยไทยซึ่งเป็นกีฬาประจำชาติไทย จึงได้บรรจุเนื้อหาการเรียนรู้ในเรื่องกีฬาไทยไว้ในรายวิชาทักษะและการสอนกีฬามวยไทย (พล 032437) โดยมีคำอธิบายรายวิชา ดังนี้ การปฏิบัติทักษะกีฬามวยไทย การจัดการเรียนรู้ทักษะกีฬามวยไทย โดยใช้หลักการ ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง สิ่งอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในการเล่น กฎ กติกา และการแข่งขัน การสร้างเสริมสมรรถภาพทางกาย การใช้กิจกรรมกีฬามวยไทยสำหรับการเรียนและการออกกำลังกาย โดยบรรจุรายวิชานี้ไว้ในหลักสูตรศึกษาศาสตร์บัณฑิต คณะศึกษาศาสตร์ สาขาพลศึกษา และจัดให้เป็นวิชาเอกหมวดกลุ่มวิชาเลือกทักษะและการสอนกีฬาที่นักศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาพลศึกษาทุกคนต้องลงทะเบียนเรียน
สำหรับการวัดและประเมินผลทางพลศึกษาที่ใช้ในการเรียนการสอนพลศึกษานั้นจะต้องอาศัยเครื่องมือประเมินที่มีความเหมาะสมเพื่อให้ได้ผลการประเมินที่ตรงกับความสามารถของผู้เรียนอย่างแท้จริงจึงจะถือได้ว่าบรรลุเป้าหมายของการประเมิน ดังที่วรศักดิ์ เพียรชอบ (2561) ได้กล่าวว่า การวัด คือ การหาปริมาณของการพัฒนาที่เกิดขึ้นในตัวนักเรียนตามหลักการและกระบวนการของการเรียนการสอนวิชาพลศึกษาตามสาระ มาตรฐาน หรือจุดประสงค์ของการเรียนรู้ที่ได้ตั้งไว้แล้วก็นำผลของการพัฒนาการที่วัดได้นั้นมาประเมินด้วยการพิจารณาเปรียบเทียบกับมาตรฐานหรือคุณภาพอย่างอื่นที่มีอยู่แล้ว เพื่อดูว่าผลของการพัฒนาการที่เกิดขึ้นจากกระบวนการเรียนการสอนที่แล้วมานั้นดีหรือไม่ดี ควรจะมีการปรับปรุงแก้ไขอย่างไร
การวัดและประเมินผลพลศึกษาแบบรูบริค เป็นเครื่องมือในการให้คะแนนชนิดหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วน คือ เกณฑ์ที่ใช้ประเมินการปฏิบัติหรือผลผลิตของนักเรียน และ ระดับคุณภาพหรือระดับคะแนน เกณฑ์แบบรูบริคจะบอกผู้สอนหรือผู้ประเมินว่าการปฏิบัติงานหรือผลงานนั้น ๆ จะต้องพิจารณาสิ่งใดบ้าง ระดับคุณภาพหรือระดับคะแนนจะบอกว่า การปฏิบัติหรือผลงานที่สมควรจะได้ระดับคุณภาพหรือระดับคะแนนนั้นๆ ของเกณฑ์แต่ละตัวมีลักษณะอย่างไร รูบริคจึงเป็นเหมือนการกำหนดลักษณะเฉพาะ (specification) ของการปฏิบัติหรือผลงานนั้น ๆ ในเชิงคุณภาพหรือเชิงปริมาณ หรือทั้ง 2 ประการรวมกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของการประเมิน
จากเหตุผลที่กล่าวมานั้นผู้วิจัยจึงสนใจที่จะสร้างเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยที่มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล มีความเที่ยงตรง มีความเชื่อถือได้ และมีความเป็นปรนัย เพื่อใช้สำหรับการเรียนการสอนกับนักศึกษาที่เรียนวิชาทักษะและการสอนกีฬามวยไทยของมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ เพื่อจะได้ทราบถึงผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความก้าวหน้า และสามารถแก้ไขจุดบกพร่องต่าง ๆ ของการปฏิบัติทักษะการไหว้ครูมวยไทย และเพื่อลดความขัดแย้งในด้านความเข้าใจที่ไม่ตรงกันหากนำเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริคไปใช้ประโยชน์ทางการแข่งขันในอนาคต
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
- เพื่อศึกษาและสร้างเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริค สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ
- เพื่อหาคุณภาพเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริค สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ
การทบทวนวรรณกรรมและแนวคิด
จากการศึกษาแนวคิด ทฤษฎี ตลอดจนงานวิจัยค้นคว้าที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริคสำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ซึ่ง ผู้วิจัยได้นำมาเป็นกรอบแนวคิดในการวิจัย ดังนี้

ขอบเขตของการวิจัย
ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย
ผู้วิจัยได้แบ่งระยะเวลาในการศึกษาวิจัยออกเป็น 2 ระยะ ดังนี้
ระยะที่ 1 ศึกษาและสร้างเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริค สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติศึกษาแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับองค์ความรู้ด้านการไหว้ครูมวยไทย การสร้างกณฑ์การประเมินแบบรูบริค การหาคุณภาพเครื่องมือวิจัย การสังเคราะห์เกณ์การประเมินการไหว้ครูมวยไทยจากองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการจัดการแข่งขันมวยไทย และนำความรู้ที่ได้มายกร่างเกณฑ์การประเมินการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริค โดยผ่านผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือวิจัย จำนวน 5 คน ประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญทางด้านมวยไทย จำนวน 4 คน ได้แก่ รศ.ดร.สำราญ สุขแสวง ผศ.ภราดร สังกรแก้ว นายเอกชัย พูลแก้ว นายคณิตชา ส่อนราช และผู้เชี่ยวชาญทางด้านการวัดและประเมินผลทางพลศึกษา จำนวน 1 คน ได้แก่ ผศ.ดร.กมลวรรณ เพชรศรี สำหรับการหาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาแบบ (CVI)
ระยะที่ 2 การทดสอบหาค่าความเป็นปรนัยของผู้ประเมิน จำนวน 1 คน โดยนำเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริค มาทดลองใช้กับนักศึกษาที่ผ่านการเรียนรายวิชาทักษะและการสอนกีฬามวยไทย (พล032437) มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตสุพรรณบุรี จำนวน 30 คน โดยได้มาแบบอาสาสมัคร และทำการการทดสอบซ้ำในระยะเวลาห่างกัน 7 วัน
ขอบเขตเนื้อหาการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้มุ่งสร้างเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริค สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ โดยใช้ทักษะการไหว้ครูมวยไทยตามรูปแบบของมวยไทยสายพลศึกษา แบบท่านั่งและแบบท่ายืนโดยแบ่งออกเป็นทักษะการไหว้ครูท่านั่ง จำนวน 6 ทักษะ ประกอบด้วย 1) เทพพนม 2) กราบเบญจางคประดิษฐ์ 3) กอบพระแม่ธรณี 4) ถวายบังคม 5) ปฐม และ 6) สอดสร้อยมาลา และท่ายืนจำนวน 2 ทักษะ ประกอบด้วย 1) ย่างสามขุม และ 2) ย่างสุขเกษม
ตัวแปรที่ศึกษา
ตัวแปรต้น ได้แก่ แนวคิดทฤษฎีด้านมวยไทย และ ทฤษฎีการสร้างเกณฑ์การประเมินแบบรูบริค
ตัวแปรอิสระ ได้แก่ เกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริค สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ค่าความเที่ยงตรงของเนื้อหา ค่าความเป็นปรนัยของผู้ประเมิน
วิธีการดำเนินการวิจัย
การสร้างเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริค ที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างโดยแบ่งทักษะที่ใช้ในการสร้างเกณฑ์การให้คะแนนออกเป็น ท่านั่ง และท่ายืน ซึ่งมีลำดับขั้นตอนการสร้าง ดังนี้
- กำหนดจุดมุ่งหมายในการสร้างเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริค
1.1 เพื่อสร้างเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริคที่มี ความเที่ยงตรง เชิงเนื้อหา
1.2 เพื่อหาคุณภาพของเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริคด้านความเชื่อมั่นผู้ประเมิน ความเชื่อมั่นระหว่างผู้ประเมิน และความเชื่อมั่นของเกณฑ์การประเมิน
- สร้างเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริค ผู้วิจัยนำผลการวิเคราะห์งาน
มาสร้างเป็นเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบิค สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ได้แก่
2.1 การสังเคราะห์ท่าไหว้ครูมวยไทย
2.1.1 ท่านั่ง จำนวน 6 ท่า ประกอบด้วย 1) เทพพนม 2) กราบเบญจางคประดิษฐ์ 3) กอบพระแม่ธรณี 4) ถวายบังคม 5) ปฐม และ 6) สอดสร้อยมาลา
2.1.2 ท่ายืน จำนวน 2 ท่า ประกอบด้วย 1) ย่างสามขุม และ 2) ย่างสุขเกษม
2.2 การสังเคราะห์เนื้อหาเกณฑ์การประเมิน ได้แก่
2.2.1 ความถูกต้อง
2.2.2 การจัดวางสมดุลของร่างกาย
2.2.3 ความสอดคล้องจังหวะดนตรี
- ให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 ท่าน ประกอบด้วย ด้านมวยไทยจำนวน 4 ท่าน และ ด้านวัดและประเมินผลทางการศึกษา จำนวน 1 ท่าน ช่วยตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (CVI) ของเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริค
- ทดลองใช้(Try-Out)เกณฑ์การประเมินครั้งที่ 1 ผู้วิจัยนำเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริค ที่ผ่านการตรวจคุณภาพขั้นต้นไปทดลองใช้เกณฑ์การประเมินครั้งที่ 1 กับนักศึกษามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ จำนวน 1 คน เพื่อดูความเป็นไปได้ในการปฏิบัติของนักศึกษา รวมถึงความเหมาะสมของเกณฑ์การประมินและทำการจับเวลาแต่ละทักษะ ตั้งแต่เริ่มประเมินนักศึกษาเริ่มปฏิบัติทักทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริค
- การทดสอบหาค่าความเป็นปรนัยของผู้ประเมินจำนวน 1 คน
5.1 การหาค่าความเป็นปรนัยของผู้ประเมิน 1 คนกับนักศึกษามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ
จำนวน 30 คน โดยผู้ประเมิน 1 คน ประเมินนักศึกษา ครั้งละ 1 คน แต่ละคนจะต้องปฏิบัติทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริค อย่างต่อเนื่องจนครบทุกทักษะ และผู้ช่วยวิจัยบันทึกภาพการเคลื่อนไหว(VDO)ในการปฏิบัติของนักศึกษา
5.2 หลังจากนั้น 1 สัปดาห์ ผู้วิจัยทำการประเมิน ครั้งที่ 2 โดยการนำภาพเคลื่อนไหวที่ บันทึกภาพการปฏิบัติของนักศึกษาใน ครั้งที่ 1 ให้ผู้ประเมินอีก 1 ครั้ง (การทดสอบซ้ำ) นำผลการประเมิน ครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 มาคำนวณหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์โดยวิธีของเพียร์สัน (Pearson Product Moment Correlation Coefficient)
การเก็บรวบรวมข้อมูล
ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยมีขั้นตอนการดำเนินการดังต่อไปนี้
- ศึกษาแนวคิดทฤษฎีประกอบด้วย 1) หลักสูตรศึกษาศาสตร์บัณฑิต สาขาพลศึกษา มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2563) รายวิชาทักษะและการสอนกีฬามวยไทย2) ทฤษฎีด้านมวยไทย 3) ทฤษฎีรูบริค 4) ทฤษฎีการสร้างเกณฑ์การประเมินผลทางพลศึกษา และ 5) ศึกษาเกณฑ์การแข่งขันการไหว้ครูและทักษะมวยไทย ประกอบด้วย กรมพลศึกษา,สมาคมกีฬาไทยในพระบรมราชูปถัมภ์แห่งประเทศไทย,มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ,มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์,วิทยาลัยมวยไทยและการแพทย์แผนไทย เพื่อยกร่างเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริค สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ
- เสนอมหาวิทยาลัยกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตสุพรรณบุรี แต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญตรวจเครื่องมือวิจัยด้านความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (CVI) จำนวน 5คน คือ ผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านมวยไทย จำนวน 4 คน และทางด้านการวัดและประเมินผลทางพลศึกษา จำนวน 1 คน ได้แก่ รศ.ดร.สำราญ สุขแสวง ผศ.ภราดร สังกรแก้ว นายเอกชัย พูลแก้ว นายคณิตชา ส่อนราช และ ผศ.ดร.กมลวรรณ เพชรศรี
- หาทดลองใช้ท่าทักษะการไหว้ครูมวยไทยจำนวน 8 ท่า กับนักศึกษาที่ผ่านการเรียนในรายวิชาทักษะและการสอนกีฬามวยไทย จำนวน 1 คน เพื่อดูความเหมาะสมด้านเนื้อหาของทักษะการไหว้ครูและระยะเวลาในการใช้ทักษะการไหว้ครูมวยไทย
- หาค่าความเป็นปรนัยของผู้ประเมิน 1 คน ด้วยการทดลองใช้โดยอาจารย์ผู้สอนในรายวิชาทักษะและกีฬามวยไทยจากวิทยาเขตสุพรรณบุรี กับนักศึกษาที่ผ่านการเรียนรายวิชาทักษะและการสอนกีฬามวยไทย (พล032437) มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตสุพรรณบุรี ได้มาแบบอาสาสมัคร จำนวน 30 คน โดยวิธีการทดสอบซ้ำในระยะเวลาห่างกัน 7 วัน
การวิเคราะห์ข้อมูล
- หาค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริค
- หาค่าความเป็นปรนัยของผู้ประเมินจำนวน 1 คน โดยใช้เกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริค กับนักศึกษา จำนวน 30 คน ด้วยวิธีทดสอบซ้ำใช้เวลาห่างกัน 7 วัน และนำข้อมูลมาหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน (Pearson Product-Moment Correlation Coefficient)
- เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติในรูปแบบตารางและความเรียง
ผลการวิจัย
การวิจัยเรื่องการสร้างเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริค สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยกีฬาแห่งชาติ ผู้วิจัยนำเสนอข้อมูลที่เป็นผลจากการทดลองในรูปตารางข้อมูลและความเรียงตามขั้นตอนการวิจัย ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาและสร้างเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริค สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัย
การกีฬาแห่งชาติ
ผู้วิจัยได้ศึกษาข้อมูลหลักสูตรศึกษาศาสตร์บัณฑิต สาขาพลศึกษา มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2563) รายวิชาทักษะและการสอนกีฬามวยไทย ทฤษฎีด้านมวยไทย ทฤษฎีรูบริค ทฤษฎีการสร้างเกณฑ์การประเมินผลทางพลศึกษา และ ศึกษาเกณฑ์การแข่งขันการไหว้ครูและทักษะมวยไทย ประกอบด้วย กรมพลศึกษา,สมาคมกีฬาไทยในพระบรมราชูปถัมภ์แห่งประเทศไทย,มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ,มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์,วิทยาลัยมวยไทยและการแพทย์แผนไทย เพื่อสังเคราะห์เนื้อหาเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริคโดยผ่านผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (CVI) จำนวน 5 ท่าน ดังตาราง 1
ตารางที่ 1 แสดงการคำนวณค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (CVI) เกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริคสำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ โดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน





จากตารางที่ 1 พบว่าค่าดัชนีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา(S-CVI) ของเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริค สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ มีค่าเท่ากับ 1.00
ขั้นตอนที่ 2 หาคุณภาพเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริค สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ
ผู้วิจัยได้ทำการทดสอบหาความเป็นปรนัยของผู้ประเมิน 1 คน และ หาความเป็นปรนัยระหว่างผู้ประเมิน จำนวน 5 คน ดังตารางที่ 2 และ ตารางที่ 3
ตารางที่ 2 การหาความเชื่อมั่นของผู้ประเมิน 1 คน ด้วยวิธีทดสอบซ้ำในระยะเวลา 7 วัน

จากตาราง 2 พบว่าการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างทดสอบ ในระยะเวลาห่างกัน 7 วัน ในครั้งที่1 และ 2 มีค่าความสัมพันธ์ เท่ากับ 0.987 โดยผลการทดสอบชี้ให้เห็นค่าความสัมพันธ์ระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ
ผู้วิจัยได้สรุปและอภิปรายผลตามลำดับการนำเสนอ ดังนี้
สรุปผลการวิจัย
1. เพื่อศึกษาและสร้างเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริค สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ พบว่า เกณฑ์การประเมินมี 3 ด้าน 1. ความถูกต้อง ประกอบด้วย 8 ท่า 1)เทพพนม 2) กราบเบญจางคประดิษฐ์ 3) การกอบพระแม่ธรณี 4) การถวายบังคม 5) ปฐม 6) สอดสร้อยมาลา 7)ย่างสามขุม 8) ย่างสุขเกษม 2. การจัดวางสมดุลของร่างกาย และ 3. ความสอดคล้องจังหวะดนตรี
2. เพื่อหาคุณภาพเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริค สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ดำเนินการ ดังนี้
2.1 หาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของเกณฑ์การประเมิน 3 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านความถูกต้อง 2) ด้านการจัดวางสมดุลของร่างกาย และ 3) ด้านความสอดคล้องจังหวะดนตรี ซึ่งมีค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแต่ละด้าน (I-CVI) เท่ากับ 1.00 และมีค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของทั้งฉบับ (S-CVI) เท่ากับ 1.00
2.2 หาค่าความเป็นปรนัยของผู้ประเมิน 1 คน ด้วยวิธีการทดสอบซ้ำ ในระยะเวลาห่างกัน 7 วัน และนำมาคำนวนหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบวิธีของเพียร์สัน มีค่าเท่ากับ 0.987 โดยผลการทดสอบชี้ให้เห็นค่าความสัมพันธ์ระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
อภิปรายผล การศึกษาการสร้างเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริค สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยกีฬาแห่งชาติ หลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาพลศึกษา (ฉบับปรับปรุง) ซึ่งอภิปรายผลได้ดังนี้
คุณภาพของเกณฑ์การให้คะแนนการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริค
1. จากผลการวิเคราะห์ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริคโดยผู้เชี่ยวชาญทางด้านมวยไทย จำนวน 4 ท่าน และผู้เชี่ยวชาญด้านการวัดและประเมินผล จำนวน 1 ท่าน พบว่าค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างการสร้างเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริคกับเกณฑ์การให้คะแนนความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหามีค่า เท่ากับ 1.00 แสดงว่าการสร้างเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริค มี 3 ด้าน 1. ความถูกต้อง ประกอบด้วย 8 ท่า 1)เทพพนม 2) กราบเบญจางคประดิษฐ์ 3) การกอบพระแม่ธรณี 4) การถวายบังคม 5) ปฐม 6) สอดสร้อยมาลา 7)ย่างสามขุม 8) ย่างสุขเกษม 2. การจัดวางสมดุลของร่างกาย และ 3. ความสอดคล้องจังหวะดนตรี ของเกณฑ์การให้คะแนนการสร้างเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริคที่สร้างขึ้นมีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา มีค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป ชาญชัย พุทธพิมเสน. (2559) นอกจากนั้นยังสอดคล้องกับงานวิจัยของ ชาญชัย ยมดิษฐ์. (2559) กุลกานต์ โพธิปัญญา และ มนัส แก้วบูชา. (2564) กมลวรรณ ตังธนกานนท์. (2563) จรัสเดช อุลิต. (2556) ณฐอร ทีฆายุพรรค, ณัฐิกา เพ็งสี และ นาทรพี ผลใหญ่. (2559) ซึ่งมีกระบวนการหาค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาโดยใช้ผู้เชี่ยวชาญและได้ค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป ดังนั้นค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของการสร้างเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริคที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีค่าเท่ากับ 1 จึงเป็นค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาที่สามารถใช้วัดผล และสอดคล้องกับเนื้อหาที่ผ็วิจัยได้ทำการสอนในรายวิชาทักษะและการสอนกีฬามวยไทยจากการทดลองการประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยเพื่อดูความเป็นไปได้และเหมาะสมความเป็นไปได้ของการประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยทั้ง 3 ด้าน 1. ความถูกต้อง ประกอบด้วย 8 ท่า
1)เทพพนม 2) กราบเบญจางคประดิษฐ์ 3) การกอบพระแม่ธรณี 4) การถวายบังคม 5) ปฐม 6) สอดสร้อยมาลา 7)ย่างสามขุม 8) ย่างสุขเกษม 2. การจัดวางสมดุลของร่างกาย และ 3. ความสอดคล้องจังหวะดนตรี โดยจับเวลาตั้งแต่เริ่มปฏิบัติ 1-8 ท่า ผู้เข้ารับการทดสอบ 30 คน โดยใช้เวลาเฉลี่ย 180 วินาที หรือ 3นาที แสดงว่ามีความเป็นไปได้และเหมาะสม ซึ่งเป็นเวลาที่ไม่มากกเกินไป
2. ค่าความเป็นปรนัยของผู้ประเมิน วิเคราะห์โดยใช้ทดสอบซ้ำห่างกัน 1 สัปดาห์ โดยใช้เกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริค แล้วนำคะแนนทั้ง 2 ครั้ง มาหาค่าความเชื่อมั่นของผู้ประเมินเพื่อจะดูว่าผู้ประเมิณให้คะแนนคงเส้นคงวาหรือไม่ พบว่ามีค่าเท่ากับ 0.987 ซึ่งอยู่ในระดับดี ผู้ประเมินที่ที่ดีจะต้องให้คะแนนคงเส้นคงวานอกจากนั้นยังสอดคล้องกับ ณฐอร ทีฆายุพรรค, ณัฐิกา เพ็งสี และ นาทรพี ผลใหญ่. (2559) แบบทดสอบที่ดีมีความคงที่จะทดสอบกี่ครั้งก็ให้ผลเหมือนกัน หรือกลุ่มเดียวกันทำการทดสอบสองครั้งคะแนนอาจไม่เท่ากันทั้งหมดแต่ใกล้เคียงกัน ซึ่งแบบทดสอบที่มีความเที่ยงตรงสูงควรจะมีความเชื่อถือได้
การทดลองใช้การสร้างเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริคทั้งหมดที่ผ่านมา ยืนยันให้เห็นถึงความเชื่อถือได้ของการนำเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริคไปใช้ ซึ่งเกิดจากผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริคตามขั้นตอนที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด การสร้างเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริคแต่ละทักษะได้คำนึงถึงการใช้ภาษาที่ชัดเจน หลีกเลี่ยงภาษาที่กำกวม และเน้นความเป็นปรนัย ได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญในแต่ละขั้นตอนของการวิเคราะห์ค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาอีกส่วนหนึ่งด้วย
ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะในการนำเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริคไปใช้
1. เกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริคในแต่ละทักษะมีคะแนนหลายระดับ ผู้นำเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริคฉบับนี้ไปใช้ควรจะศึกษาคู่มือการประเมิน และเกณฑ์การประเมินของแต่ละทักษะให้เข้าใจอย่างถ่องแท้เสียก่อน เพื่อที่จะใช้เป็นเครื่องมือช่วยอาจารย์ผู้สอนในการประเมินนักศึกษาสำหรับการประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริคได้ถูกต้องและยุติธรรม ตามเกณฑ์การประเมินที่กำหนดไว้ในคู่มือ
2. ก่อนนำเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริคไปใช้ ต้องชี้แจงให้นักศึกษาทราบเกี่ยวกับรายละเอียดการบันทึกภาพเคลื่อนไหว ควรพิจารณามุมในการบันทึกภาพเพื่อให้ได้ภาพที่ครบถ้วนสมบูรณ์เห็นการเคลื่อนไหวชัดเจนของเกณฑ์การประเมินอย่างชัดเจน เพื่อการประเมินจะได้สอดคล้องกับสิ่งที่ปฏิบัติมากที่สุด
ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป
1. ควรสร้างเครื่องมือเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริค ท่าไหว้ครูมวยไทยท่าอื่นๆอื่น เช่น หงส์เหิน ลับหอกโมกกษัตริย์ พยัคฆ์ด้อมกวาง พระแม่ธรณีมวยผม ตัดไม้ข่มนาม เป็นต้น เพราะจะได้มีการสร้างเกณฑ์การประเมินทักษะการไหว้ครูมวยไทยแบบรูบริค แบบประเมินในรายวิชาทักษะและการสอนกีฬามวยไทยที่มีความหลากหลายและเหมาะสมในการเรียนการสอนต่อไป
2. การสุ่มตัวอย่างจากประชากร ควรมีการกำหนดจำนวนกลุ่มตัวอย่างให้มีความเหมาะสมระหว่างเพศชายและหญิง และแยกการให้คะแนนระหว่างนักศึกษาชายกับนักศึกษาหญิงเพื่อหาค่าความเชื่อมั่นที่มีความแตกต่างไปจากการสุ่มแบบเดิม
องค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัย
1. ผู้สอนสามารถประเมินการไหว้ครูมวยไทยของนักศึกษาได้อย่างเที่ยงตรง
2. ผู้เรียนสามารถรับรู้ผลการประเมินในการไหว้ครูมวยไทยให้เห็นถึงระดับความสามารถและข้อเสนอแนะในการปรับปรุงแก้ไขให้มีความสามารถที่ถูกที่ต้อง
3.เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาเกณฑ์การประเมินทักษะกีฬาที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันหรือในรายวิชาพลศึกษาอื่นๆ ต่อไป
เอกสารอ้างอิง
กมลวรรณ ตังธนกานนท์. (2563). การวัดและประเมินทักษะการปฏิบัติ. พิมพ์ครั้งที่ 3 กรุงเทพฯ:
สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
กุลกานต์ โพธิปัญญา และ มนัส แก้วบูชา. (2564). รำไหว้ครูมวยไทย : ความหมายความเหมือนและความต่าง. มูลนิธิ
จรัสเดช อุลิต. (2556). การจัดการความรู้มวยไทย 5 สาย. กรมส่งเสริมวัฒนธรรมกระทรวงวัฒนธรรม.
ชาญชัย ยมดิษฐ์. (2559). การร่ายรำไหว้ครูมวยไทย. ราชบุรี. วิทยาลัยมวยไทยและการแพทย์แผนไทย
ชาญชัย พุทธพิมเสน. (2559). การสร้างเกณฑ์การให้คะแนนทักษะดาบสองมือ สำหรับนักศึกษา
สถาบันการพลศึกษา. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต (พลศึกษา).
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
ณฐอร ทีฆายุพรรค; ณัฐิกา เพ็งสี; และ นาทรพี ผลใหญ่. (2559). การสร้างเกณฑ์การประเมิน
ทักษะวิชายูโดสำหรับนิสิตระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
วารสารวิชาการสถาบันการพลศึกษา. 8(1): มกราคม-เมษายน 2559.
พลพรรธน์ บัวแก้ว. (2560). การพัฒนาแบบประเมินตามสภาพจริงด้านทักษะการเคลื่อนไหว
พื้นฐานสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา. วารสารอิเล็กทรอนิกส์ทางการศึกษา.
Vol. 12 No. 3 (2017): กรกฎาคม-กันยายน 2560.
ราชันย์ เฉลียวศิลป์. (2558). มวยไทย. สุพรรณบุรี; คณะวิทยาศาสตร์การกีฬาและสุขภาพ สถาบันการพล
ศึกษาวิทยาเขตสุพรรณบุรี
วรศักดิ์ เพียรชอบ. (2561). รวมบทความเกี่ยวกับปรัชญา หลักการสอน วิธีสอน และการวัด เพื่อ
ประเมินผลทางการพลศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.